โดยปกติร่างกายต้องการน้ำตาลเพียง 24 กรัม / วัน เท่านั้น หรือประมาณ 4-6 ช้อนชา (เทียบเท่าน้ำผลไม้ประมาณ 200 มิลลิลิตร) แต่ถ้าได้รับปริมาณที่มากไป จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง และประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินลดลง
น้ำตาลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
- น้ำตาลธรรมชาติ ที่ได้จากผัก ผลไม้ต่างๆ (ฟรุกโตส) และน้ำตาลในนม (แล็กโทส)
- น้ำตาลสังเคราะห์ หรือน้ำตาลที่ปรุงแต่ง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำดื่มสำเร็จรูป
ผลจากการงดน้ำตาล
- เลิกติดหวาน
มีงานวิจัยว่าน้ำตาลจะเสพติดได้มากกว่าโคเคน และคาเฟอีนซะอีก ได้มีการทดลองให้หนูกินผงขาวและน้ำตาลจนติด จากนั้นจึงแยกวางกองผงขาวและน้ำตาลไว้ข้างละกอง และเมื่อทำการปล่อยหนูทดลอง หนูกลับวิ่งเข้าหากองน้ำตาลอย่างไม่ลังเล นั่นแสดงให้เห็นว่า “น้ำตาล” ก็เป็นสารเสพติดย่อย ๆ ชนิดหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่จะติดหวาน และเลิกได้ยาก
2. ลมหายใจสดชื่น
เพราะน้ำตาลเป็นอาหารชั้นเลิศของแบคทีเรีย จึงทำให้แบคทีเรียเติบโตได้ดีในช่องปาก เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
3. สมองสดชื่น ความจำดีขึ้น
น้ำตาลทำให้มีการชลอกิจกรรมทางสมอง ปิดกั้นการจดจำและการเรียนรู้ของสมอง หากเปรียบเทียบเด็กที่ขนมหวานหรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง กับเด็กที่แทบไม่ได้กินน้ำตาล จะพบว่า เด็กที่ไม่ค่อยได้กินน้ำตาล จะมีความจำดีกว่า และเรียนรู้ได้เร็วกว่า
4. ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์
ในสมองคนเราจะมีสารเคมีชื่อ BDNF ทำหน้าที่สร้างแขนงและเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาท ที่มีกระบวนการสำคัญในการเก็บข้อมูลมากมาย น้ำตาลจะรบกวนความสมดุลของเซลล์ ส่งผลให้การทำงานของส่วนนี้มีประสิทธิภาพลดลง สามารถกลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืมได้
5. ผิวอ่อนเยาว์ ชะลอความแก่
น้ำตาลมีผลต่อการอักเสบของผิวหนังได้มากถึง 87% ด้วยเมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย หากตับไม่สามารถแปรรูป และร่างกายไม่สามารถขับน้ำตาลออกทางเหงื่อได้ ก็จะส่งผลให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ จนเกิดอาการสิวบุก สิวเห่อ หรือสิวอักเสบ นั่นเอง สังเกตได้จากช่วงไหนที่กินของหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก มักจะมีสิวเกิดขึ้นตามมากวนใจ เพราะน้ำตาลเป็นสาเหตุของกระบวนการ Glycation ที่จะไปทำปกิริยากับโปรตีน ให้มีการผิดรูป จนเกิดสาร AGEs ซึ่งเป็นสารประกอบที่เป็นพิษต่อเซลล์ และโครงสร้างคอลลาเจนถูกทำลาย จึงเป็นสาเหตุให้ผิวดูแก่กว่าวัย ดังนั้นการลดน้ำตาลจะช่วยรักษาสภาพโครงสร้างของเซลล์ ให้ผิวพรรณคงความอ่อนเยาว์
6. ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดต่างๆ
เมื่อมีสะสมปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้การทำงานของเซลล์ผิดปกติ ผนังหลอดเลือดถูกทำลาย เนื่องจากเส้นเลือดฝอยเสื่อม ทำให้ขาดความยืดหยุ่น เปราะบางและแตกง่าย และเมื่อหลอดเลือดเกิดแผล คอเลสเตอรอลแอลดีแอลจะสะสมในหลอดเลือดที่เป็นแผล จนทำให้เป็นกลุ่มก้อนไขมันที่ผนังหลอดเลือด เกิดการตีบตัน และเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก ซึ่งหากเกิดที่สมอง ก็จะเป็นโรคสมองตีบ แต่ถ้าหากเกิดที่หัวใจ ก็จะเป็นโรคหัวใจตีบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย และเป็นอันตรายต่อชีวิต ดังนั้นเมื่อลดน้ำตาล 14 วัน จึงเหมือนเป็นการทำความสะอาดให้หลอดเลือด และลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดต่างๆได้อีกด้วย
7. ลดคอเลสเตอรอล ห่างไกลจากโรคหัวใจ
น้ำตาลจะเพิ่มระดับอินซูลินที่กระตุ้นระบบประสาท ส่งผลให้หัวใจมีอัตราการเต้นเร็วขึ้น แต่ระดับคอเลสเตอรอล และไขมันแอลดีแอลจะลดลง เมื่อมีการลดน้ำตาล ความดันโลหิตลดลง ไตรกลีเซอไรด์ก็อาจลดลง และการทำงานของหัวใจก็ดีขึ้น เพราะไม่ต้องทำงานหนัก จากการที่ร่างกายต้องพยายามย่อยอาหารที่มีน้ำตาลสูง และผลจากงานวิจัยที่พบว่า การบริโภคน้ำตาลมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
8. มีความสุขมากขึ้น ห่างไกลจากอารมณ์แปรปรวน และโรคซึมเศร้า
เมื่อคุณทานของหวาน คุณจะรู้สึกถึงความสดชื่น และเหมือนมีพลัง ทำให้มักถูกเข้าใจว่า “การเติมของหวาน เป็นการเติมพลังที่ดี” แต่ที่จริงแล้วมันเป็นกับดักต่างหาก! เพราะคุณจะรู้สึกถึงสดชื่นและเหมือนได้เติมพลังเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นจะเกิดอาการโหย ต้องการเติมความสุขเช่นนั้นอยู่เรื่อย ๆ จนเกิดการวนลูป และอาจมีการติดหวานจนในที่สุด
ในบางราย หากติดหวานหรือกินน้ำตาลในปริมาณสูง จะมีอารมณ์แปรปรวน ขี้รำคาญ หงุดหงิดง่าย ไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ เกิดความกังวล หดหู่ จนอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ แต่เมื่อคุณงดน้ำตาล จะทำให้คุณมีความมั่นคงทางอารมณ์ และมีความสุขได้ง่ายขึ้น
9. นอนหลับง่ายขึ้น และนอนหลับสนิท
เพราะน้ำตาลที่ไม่ใช่น้ำตาลธรรมชาติ จะเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกาย รบกวนการทำงานของสมองและประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้วงจรการนอนหลับแปรปรวน แต่เมื่อลองงดน้ำตาลลงประมาณ 1-2 อาทิตย์ คุณจะรู้สึกตื่นตัวในเวลากลางวัน และรู้สึกหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน
10. น้ำหนักลดลง
แน่นอน! ข้อนี้ใคร ๆ ก็ต้องรู้ เพราะถ้าคุณกระหน่ำขนมหวานเข้าไปมากแค่ไหน น้ำหนักก็ตามมามากเท่านั้น และต่อให้คุณกินขนมหวานไปมากเท่าไรก็ตาม แต่ภายใน 1-2 ชั่วโมง คุณก็จะหิวอีก ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะขนมเหล่านั้นมีแต่แคลอรี แต่ไม่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ จึงเกิดความโหยและหิวเร็วมาก จนคุณเองอาจแปลกใจ และกังวลถึงน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเชื่อเถอะว่า การงดกินน้ำตาล ง่ายและสะดวกกว่าที่จะเข้ายิมเพื่อทำการเบิร์นเผาผลาญแคลอรีเสียอีก และเมื่อคุณหยุดกินน้ำตาลไปประมาณ 1 เดือน คุณจะปลาดใจกับน้ำหนักที่ลดลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ
งดน้ำตาล ปวดหัว?
นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายได้รับน้ำตาลในแต่ละวันจนเกิดความเคยชิน ดังนั้นเมื่อทำการงดและเลิก มันจึงเกิดปฏิกิริยา โดยจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย แต่จะเป็นในช่วงการงดน้ำตาล 7 วันแรก เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังขับพิษออก และกำลังเข้าสู่การคลีนร่างกาย แต่เมื่อเริ่มงดน้ำตาล 14 วัน ร่างกายจะมีการปรับตัวได้ แต่ถ้าหากงดน้ำตาล 1 เดือน ร่างกายจะเกิดความเคยชิน จนคุณอาจลืมไปว่ากำลังทำการปฏิวัติ เลิกและตัดสัมพันธ์กับน้ำตาลอยู่
งดน้ำตาลกินอะไรได้บ้าง?
ในช่วงการงดน้ำตาล 7 วันแรก อาจจะมีผลข้างเคียง และมีอาการโหย ความต้องการน้ำตาลที่มากขึ้น เนื่องจากร่างกายเกิดความเคยชินมานานกับการได้รับน้ำตาล ดังนั้นหากต้องการจะกินน้ำตาลหรือของหวาน ให้รับมือดังนี้
- เจือจางเครื่องดื่มหวาน ๆ กับโซดา หรือเจือจางน้ำผลไม้เข้มข้นด้วยน้ำเปล่า ดื่มแทนน้ำหวานที่เคยดื่มประจำ หรือเมื่อต้องการจะดื่มอะไรหวาน ๆ
- ทานผลไม้ เมื่อต้องการทานของหวาน เช่น แตงโม กล้วย มะม่วง (ยกเว้นทุเรียน เพราะในทุเรียนมีน้ำตาลสูงมาก)
- ควบคุมแคลอรี่ต่ำเข้าไว้ หากทำตามสองข้อแรก แต่ก็ยังไม่ไหว ก็ต้องใช้วิธีควบคุมปริมาณแคลอรี่ต่ำเข้าไว้ โดยเลือกขนมที่มีแคลอรี่ต่ำกว่า 150 โดยทานแต่น้อย เพื่อช่วยในการควบคุมอีกทาง
- เลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ และเป็นอาหารธรรมชาติ ซึ่งสามารถทานได้โดยไม่ต้องคอยนับแคลอรี่ ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะทานเท่าไรก็ได้ และยังช่วยให้ร่างกายได้พัก ไม่ต้องทำงานหนัก จำพวก ผัก ผลไม้ ไข่ โปรตีนธรรมชาติ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ชาสมุนไพร ไขมันดี เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก
- เลิกทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือให้ความหวานทุกชนิด (ยกเว้นหญ้าหวาน) รวมไปถึงอาหารแอบแฝง อย่างเช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่มสำเร็จรูปต่าง ๆ อาหารจำพวกแป้ง อาหารที่ทำมาจากนมวัว และ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ส่วนใหญ่คนจะเริ่มทนไม่ไหวและเลิกกลางครันในช่วง 7 วันแรก เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังขับพิษ ทำให้มีอาการต่าง ๆ อย่าง ปวดหัว หงุดหงิดง่าย หัวตื้อ คิดอะไรไม่ค่อยออก แต่ถ้าเลิกตอนนี้นับว่าน่าเสียดาย หากพยายามแข็งใจทนไปได้จนถึง 14 วัน ทุกอย่างจะดีขึ้น และถ้าทำไปต่อได้ประมาณ 1 เดือน คุณจะเห็นผลที่คุ้มค่า และสามารถโบกมือลาน้ำตาลได้ แม้ว่าอาจจะมีการทานหวานบ้างเล็กน้อย แต่ก็จะไม่ถึงขั้นติดหวานอย่างที่เคย