ถึงเวลาเปลี่ยน “แบตเตอรี่รถ” อีกแล้ว จะใช้แบตแบบเดิม หรือจะเปลี่ยนยี่ห้อแบตใหม่ดีนะ แล้วถ้าเปลี่ยน จะเปลี่ยนเป็นแบตยี่ห้ออะไรดี?
ใครที่กำลังจะเปลี่ยนยี่ห้อแบตรถยนต์ อาจมีคำถามคอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา เช่น จะเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่รถเก๋งยี่ห้อไหนดี แบตเตอรี่ยี่ห้อไหนทน แบตรถกระบะยี่ห้อไหนดีกว่าที่ใช้อยู่ แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อไหนดีกว่ากัน หรือ แบตเตอรี่ยี่ห้อไหนมีค่า cca สูงที่สุด เพราะรถคู่ใจก็ใช้งานมานาน เริ่มจะมีอาการงอแง ประสิทธิภาพของอุปกรณ์บางอย่าง ก็เริ่มจะถดถอยตามกาลเวลา จึงต้องการยี่ห้อแบตเตอรี่รถยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับรถคันโปรด
นักขับรถมือใหม่ หรือผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถด้วยตัวเองมาก่อน รวมไปถึงผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องรถเลย เมื่อถึงเวลาหรือจำเป็นต้องซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่ แต่ไม่มีสกิลพื้นฐานเลย ยืนงงในดงคำศัพท์ ที่เวลาช่างหรือร้านจำหน่ายถาม เลยมักจะตัดปัญหาด้วยการแจ้งร้าน battery รถยนต์ยี่ห้อไหนดีก็เอาลูกนั้น ทำให้มักพลาดท่า ได้แบตเตอรี่ราคาแพง แต่ใช้ได้ไม่นานก็แบตหมด เสื่อมเร็ว เพราะเป็นแบตยี่ห้อดังจริง แต่แบตค้างสต็อก เก่าเก็บ แบตจึงหมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หรือบางคนแจ้งคนขาย แบตเตอรี่ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก ก็จัดมาได้เลย ทำให้ได้แบตที่ไม่ตรงกับประเภทของรถ หรือแบตเตอรี่ปลอม เสี่ยงต่ออันตราย ผู้ขับขี่รถทุกคน จึงควรจะทำการศึกษา หรือหาข้อมูลพื้นฐานบ้าง เพื่อรักษาผลประโยชน์ และใช้รถได้อย่างปลอดภัยในทุกด้าน
ค่า Ah และ CCA คืออะไร
Ah ย่อมาจาก A : Ampere คือ หน่วยกระแสไฟฟ้า ที่ใช้วัดกระแสไฟ และ h : hour คือ หน่วยของเวลาใน 1 ชั่วโมง โดยเรามักจะเรียกกันติดปากว่า แอมป์ ซึ่งเป็นตัวแสดงสถานะค่าประจุไฟฟ้า ที่บอกปริมาณและระยะเวลาในการจ่ายกระแสไฟ โดยทั่วไปจะเป็นการบอก อัตราการคายประจุไฟฟ้า ของแบตเตอรี่ลูกนั้น ในลักษณะแบบคงที่ต่อชั่วโมง โดยมาตรฐานแล้ว ฝ่ายวิศวกรหรือช่างผู้ผลิตรถและแบตเตอรี่ จะมีการคำนวณ และตั้งสเปค กำหนด Ah สำหรับจ่ายกระแสไฟ 20 ชั่วโมง เช่น แบตเตอรี่ 1 ลูก ปล่อยกระแสไฟ 5 แอมป์ ใน 20 ชั่วโมง แสดงว่าแบตลูกนั้น ก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ 100 แอมป์ ในเวลา 1 ชั่วโมง นั่นเอง
CCA ย่อมาจาก Cold Cranking Amp เป็นค่ากำลังไฟ หรือความสามารถจ่ายไฟ สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งมีหน่วยเป็น A (แอมป์) โดยปกติแล้ว หากอุณภูมิลดลง ความสามารถในการสตาร์ทรถก็จะลดลงไปด้วย ดังนั้น แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA มากเท่าไร จะยิ่งสตาร์ทรถได้ง่ายขึ้น แม้จะอยู่ในสภาพอากาศทีเลวร้าย เมื่อแบตเตอรี่จะเสื่อม ค่ากำลังไฟก็จะน้อยลง จนไม่พอต่อการสตาร์ทรถ แต่ยังให้ความสว่างได้ ดังนั้นเมื่อจะซื้อแบตเตอรี่ ควรดูที่มีค่า CCA เพียงพอต่อความต้องการใช้เครื่องยนต์
แบตเตอรี่ยี่ห้อไหนดีที่สุด
รถทุกยี่ห้อมีการใช้พลังงาน และมีการชาร์จพลังงานกลับคืนแบตเตอรี่ตลอดเวลาที่รถวิ่ง รถที่มีการใช้งานหนักอยู่ประจำ เช่น รถโดยสารประจำทาง รถรับจ้างเชิงพาณิชย์ อย่าง รถแท็กซี่ ที่อาจมีการระยะทางการวิ่ง 200 – 300 กม. / วัน ก็อาจทำแบตหมดเร็วกว่า รถยนต์ที่ใช้วิ่งปกติ ในระยะทางประมาณ 30 – 60 กม. / วัน นอกจากนี้จะต้องดูไปถึงเรื่องการชาร์จด้วย โดยไม่ควรชาร์จต่ำกว่ามาตรฐาน คือ ไม่ควรต่ำกว่า 13.6 v ในขณะที่เปิดใช้งานระบบไฟทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าหากมักจะปล่อยให้แบตหมดเองบ่อยๆ ก็จะส่งผลให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น เทียบกันง่ายๆ ก็เหมือนแบตโทรศัพท์มือถือ ที่ควรจะชาร์จไฟให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อความพร้อมในการใช้งาน และยังเป็นการรักษาสภาพของแบตเตอรี่ ให้ใช้ได้ทนและยาวนาน
แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนทนที่สุด
โดยปกติของแบตเตอรี่รถยนต์ทุกยี่ห้อ จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 – 3 ปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทแบตเตอรี่ และลักษณะการใช้งานรถ รวมไปถึงสเปคแบตเตอรี่ยี่ห้อนั้นๆ ว่ามีการตั้งค่าจากผู้ผลิตอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น ค่าความจุ (Ah) หรือ ค่ากำลังไฟ CCA และระยะทางที่รถวิ่ง หรือลักษณะการใช้รถ และสภาพสิ่งแวดล้อม ก็มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น รถที่ขับในเมือง ที่มักต้องเจอกับสภาพการจราจรติดขัดเป็นประจำ รถที่ต้องจอดกลางแดดเป็นเวลานานๆ ก็ส่งผลให้แบตหมด หรือต้องเปลี่ยนแบตไวกว่า รถบ้านที่ขับนอกเมือง แม้จะมีระยะทางที่เท่าหรือใกล้เคียงกัน
เลือกจำนวนแอมป์ให้เหมาะกับรุ่นรถที่ใช้ หรืออาจมากกว่าสักเล็กน้อย แต่อย่าให้ค่า Ah น้อยกว่าลูกเดิม เพราะค่าแอมป์แปร์ของแบตเตอรี่แต่ละลูก ที่ติดตั้งมาจากโรงงานรถ ผู้ผลิตได้มีการคำนวณในการใช้งานกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถไว้แล้ว รวมไปถึงระยะเวลา การจอดรถทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 วัน โดยไม่มีการขับเลย
ดังนั้น หากใช้แบตเตอรี่ลูกใหม่ที่มีค่าแอมป์น้อยกว่ารถ จะทำให้มีการจ่ายไฟไม่เพียงพอ ที่อุปกรณ์ในรถจำเป็นต้องใช้ เป็นสาเหตุปัญหาแบตหมดเร็ว แบตเสื่อมไว ยิ่งไปกว่านั้น จะไปเพิ่มภาระหน้าที่ มอเตอร์สตาร์ท และไดชาร์จ ให้ทำงานหนักมากขึ้น และเสื่อมสภาพไวขึ้นในที่สุด
ทำไมต้องเลือกแบตเตอรี่ยี่ห้อไหนค่า CCA สูงๆ
เพราะทุกครั้งที่ต้องมีการใช้รถ ความสามารถการสตาร์ทรถย่อมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเร่งรีบ หรือเป็นเหตุฉุกเฉิน และรถที่มีอายุการใช้นานมากเท่าไร ค่า CCA ก็ยิ่งลดลงตามกาลเวลา เมื่อจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ การเลือกแบตรถที่มีค่า CCA สูง จะช่วยให้การสตาร์ทรถติดง่าย แม้จะจอดอยู่ในสภาพอากาศหนาว สังเกตได้จาก เมื่อต้องจอดรถในสถานที่มีความชื้นสูง หรือในช่วงเช้าๆ ที่มักจะสตาร์ทรถติดยาก หรือรถสตาร์ทไม่ติดเลย เพราะโดยปกติแล้ว แบตเตอรี่จะมีการคายประจุไฟฟ้าอย่างช้า ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะจอดรถอยู่ก็ตาม แต่เมื่อมีความชื้นในอากาศสูง เช่น ช่วงตอนเช้า หรืออากาศหนาวเย็น แบตเตอรี่จะคายประจุไฟฟ้าเร็วกว่าปกติ ทำให้กำลังไฟลดลงไปมาก เป็นสาเหตุทำให้สตาร์ทรถยาก ยิ่งถ้าอากาศหนาวจัด เครื่องน็อค ดับสนิทไปเลย แต่ถ้ารถที่มีค่า CCA สูง และมีการดูแลรถเป็นปกติ จะช่วยลดความเสี่ยง อาการแบตเตอรี่เสื่อมก่อนเวลา
ยิ่งรถปัจจุบันนี้ มักจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี มีอุปกรณ์ไฟ้า และระบบดิจิทัลมากขึ้น มัลติฟังก์ชั่นที่หลากหลาย เครื่องยนต์จึงต้องการแรงกระตุ้นของมอเตอร์ ที่มีกำลังเสถียรสูงขึ้น และสามารถจ่ายไฟได้มาก ตามความต้องการของการใช้งานในรถ กำลังสตาร์ทของรถยนต์จึงต้องสูงตามไปด้วย หากใช้แบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ต่ำ จะมีผลต่อแบตเตอรี่ ทำให้แบตเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว และการจะดูว่าแบตเตอรี่ยี่ห้อไหนค่า CCA สูง จะต้องดูจากตารางค่า CCA แบตเตอรี่แต่ละยี่ห้อ เพื่อทำการเปรียบเทียบ ซึ่งอาจหาจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ของยี่ห้อแบตเตอรี่โดยตรง
เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนดี
วิธีการเลือกเปลี่ยนแบตรถยี่ห้อไหนดี ไม่ได้มีเพียงแค่ดูค่า Ah และ CCA สูง ๆ หรือราคาแบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ รวมไปถึงการรับประกัน จากผู้ผลิต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คุณสมบัติและขนาดของแบตเตอรี่ ที่ต้องตรงกับรุ่นรถที่ใช้อยู่ ประเภทของแบตเตอรี่ ว่าแบบไหนเหมาะกับลักษณะการใช้รถของคุณ ซึ่งแบตเตอรี่ที่นิยมใช้ในประเทศไทยตอนนี้ ได้แก่
- แบตเตอรี่แบบน้ำกลั่น ที่เป็นแบตเตอรี่ที่ต้องคอยเติมน้ำ แต่มีราคาถูก และมีความอึด ทน ใครที่ต้องการแบตทนทาน และมีเวลาดูแล แต่ยังไม่รู้จะเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อไหนดี ราคาถูก แบตน้ำก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง ที่พัฒนามาจากแบตเตอรี่น้ำ แทบไม่ต้องเติมน้ำเลย ปัจจุบันแบตชนิดนี้ มีการเพิ่มกำลังสตาร์ท และประจุแอมป์สูงขึ้น แทบจะไม่ต่างจากแบตเตอรี่แห้งเท่าไรนัก และเหมาะกับรถทุกประเภท
- แบตเตอรี่แห้ง ไม่ต้องเติมน้ำเลยตลอดอายุการใช้งาน มักจะมีแอมป์ และกำลังสตาร์ทสูงกว่าแบตชนิดอื่น เหมาะสุดๆกับผู้ใช้รถที่ไม่ค่อยได้เช็ครถ ก็น่าพิจารณาแบตแห้งดู เพราะดูแลรักษาง่าย และปัจจุบันราคาแบตเตอรี่แห้ง ก็ไม่ได้แพงกว่าแบตชนิดอื่นมากนัก เหมาะกับรถทุกประเภท
- แบตเตอรี่ไฮบริด ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง แบตเตอรี่น้ำ กับ แบตเตอรี่กึ่งแห้ง จะมีราคาสูงที่สุดของแบตเตอรี่ทั้ง 4 ประเภท แต่สะดวกต่อการใช้งานที่สุด และยังเหมาะมากๆ กับรถกระบะ เครื่องยนต์ 2,500 – 2,800 cc และรถที่ใช้งานหนักประจำ
แบตเตอรี่ที่ใช่ เหมาะสมกับประเภทรถ และสไตล์การใช้รถของคุณที่สุด จะช่วยเสริมให้รถมีกำลังขับเคลื่อนที่ดี สตาร์ทง่าย ใช้งานได้นาน คุ้มราคา และคุ้มค่า มีความปลอดภัยในการใช้รถตลอดการเตินทาง ไม่เสี่ยงแบตเสื่อม แบตหมดไว รถดับกลางทาง โดยเฉพาะเวลาเร่งรีบ หรือเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินและอันตราย จึงจะนับว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดในโลก