matcha latte in a red color cup on table

มัทฉะหรือกาแฟ?เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นมัทฉะ ดีไหม?ดื่มมัทฉะทุกวัน?

เจาะลึกเปรียบเทียบระหว่างชาเขียวมัทฉะและกาแฟ ช่วยให้คุณเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละเครื่องดื่ม เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกาแฟหรือกำลังมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
Total
0
Shares

ในยุคที่คนส่วนใหญ่ต้องการพลังงานเพื่อรับมือกับชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ เครื่องดื่มยอดนิยมอย่างกาแฟจึงกลายเป็นตัวช่วยที่ขาดไม่ได้ แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง “มัทฉะ” หรือชาเขียวผงญี่ปุ่น กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นด้านสุขภาพและความรู้สึกผ่อนคลาย 

หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามว่า ดื่มมัทฉะดีกว่าดื่มกาแฟจริงหรือ? และถ้าคุณไม่ชอบกาแฟเลย จะลองมัทฉะดูดีไหม? บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้ พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของทั้งสองเครื่องดื่ม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง

นอกจากนี้เรายังจะพูดถึงประโยชน์และข้อควรระวังของการดื่มมัทฉะในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนก่อนเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบ

ดื่มมัทฉะดีกว่าดื่มกาแฟไหม?

A woman holding in hands trendy green matcha drink and smartphone, top view.

คำถามนี้ตอบได้ไม่ง่ายนัก เพราะทั้งมัทฉะและกาแฟมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและร่างกายของแต่ละคน

ประโยชน์ของมัทฉะ

มัทฉะทำจากใบชาเขียวที่บดละเอียด จึงทำให้เราได้รับสารอาหารเต็ม ๆ จากใบชา ไม่ใช่แค่ชงน้ำร้อนแล้วกรองทิ้งเหมือนชาเขียวทั่วไป สารสำคัญในมัทฉะ เช่น คาเทชิน (Catechins) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่าง ๆ 

ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และยังช่วยให้ร่างกายตื่นตัวอย่างนุ่มนวลไม่เร่งรีบเหมือนกาแฟ เพราะมัทฉะมีสารคาเฟอีนที่ปล่อยพลังงานช้าและมีสาร L-theanine ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและมีสมาธิ

ประโยชน์ของกาแฟ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะเพราะคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดความง่วง และเพิ่มสมรรถภาพในการออกกำลังกาย นอกจากนี้ กาแฟยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคบางชนิดเช่นกัน

ความแตกต่างที่สำคัญ

  • คาเฟอีน: มัทฉะมีคาเฟอีนต่ำกว่าและปล่อยพลังงานช้ากว่า ทำให้ไม่เกิดอาการใจสั่นหรือกระวนกระวายเหมือนกาแฟ

  • สารต้านอนุมูลอิสระ: มัทฉะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากาแฟหลายเท่า

  • ผลต่อจิตใจ: มัทฉะมี L-theanine ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่กาแฟอาจทำให้รู้สึกตึงเครียดหรือประสาทได้ถ้าดื่มมากเกินไป

ดังนั้น ถ้าคุณต้องการเครื่องดื่มที่ช่วยให้มีสมาธิและพลังงานแบบนุ่มนวล มัทฉะอาจเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการความตื่นตัวฉับไวและกระตุ้นอย่างแรง กาแฟก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี

ถ้าฉันไม่ชอบกาแฟ ฉันจะชอบมัทฉะไหม?

Young latin woman showing a green smoothie in debod temple, madrid

หลายคนที่ไม่ชอบกาแฟมักจะกลัวว่ามัทฉะจะมีรสขมเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วรสชาติของมัทฉะต่างจากกาแฟอย่างมาก

  • รสชาติของมัทฉะ: มัทฉะมีรสชาติหอมหวานแบบธรรมชาติ มักจะมีรสขมเล็กน้อย แต่ถ้าเลือกมัทฉะคุณภาพดีจะได้รสชาติที่นุ่มนวลและกลมกล่อม

  • ความเข้มข้น: คุณสามารถปรับความเข้มข้นของมัทฉะได้ง่าย เช่น ใส่น้ำน้อยลงหรือเติมนมหรือสารให้ความหวานเพื่อเพิ่มรสชาติ

  • ความแตกต่างจากกาแฟ: กาแฟมีรสชาติขมและกลิ่นคั่วที่แรงซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะชอบ ในขณะที่มัทฉะให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นใจ

ถ้าคุณไม่ชอบกาแฟ แนะนำให้ลองมัทฉะที่มีคุณภาพดี และลองดื่มแบบผสมกับนมหรือของหวาน เพื่อช่วยให้รสชาตินุ่มนวลขึ้นก่อน จากนั้นค่อยๆ ปรับลดสารให้ความหวานตามต้องการ

ควรเปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นชาเขียวมัทฉะไหม?

คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและร่างกายของแต่ละคน

เหตุผลที่ควรเปลี่ยนมาเป็นมัทฉะ

  • หากคุณมีอาการใจสั่น กระวนกระวาย หรือรู้สึกเครียดจากการดื่มกาแฟ

  • ต้องการสมาธิและความผ่อนคลายพร้อม ๆ กัน

  • อยากลดปริมาณคาเฟอีนแต่ยังต้องการพลังงานตลอดวัน

  • ต้องการสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าเพื่อสุขภาพในระยะยาว

มีแนวโน้มซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเครียดง่าย:

มัทฉะมีกรดอะมิโน L-theanine ที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายและมีสมาธิ โดยไม่ทำให้ตึงเครียดเหมือนคาเฟอีนจากกาแฟ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะอาจช่วยลดการอักเสบในสมองและภาวะซึมเศร้าได้

เหตุผลที่อาจไม่ต้องเปลี่ยน

  • หากคุณชอบความตื่นตัวเร็วของกาแฟและไม่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับคาเฟอีน

  • ชอบรสชาติและกลิ่นของกาแฟมากกว่า

  • ยังไม่ได้ลองมัทฉะอย่างจริงจัง หรือไม่ชอบรสชาติของชาเขียว

หากสนใจลองเปลี่ยน แนะนำให้ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ลดกาแฟวันละน้อยแล้วเพิ่มมัทฉะทีละนิด เพื่อให้ร่างกายปรับตัวและลดอาการถอนคาเฟอีน

Hand pouring powder of young barley and chlorella spirulina or matcha into a glass.

การดื่มมัทฉะทุกวันมีข้อเสียอะไรไหม?

มัทฉะมีประโยชน์มาก แต่การดื่มมากเกินไปก็อาจมีผลเสียได้เหมือนกัน

ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น

  1. คาเฟอีนสะสม: ถึงแม้มัทฉะจะมีคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟ แต่ถ้าดื่มมากเกินไปก็ยังทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว หรือกระวนกระวายได้

  2. สารแทนนิน: สารนี้ในชาเขียวบางครั้งอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร โดยเฉพาะในคนที่มีภาวะโลหิตจาง

  3. คุณภาพมัทฉะ: มัทฉะคุณภาพต่ำหรือที่ผสมสารเคมีอาจมีสารตกค้างหรือสิ่งเจือปนที่ไม่ดีต่อร่างกาย

  4. ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะ: คนบางคนอาจรู้สึกระคายเคืองกระเพาะจากการดื่มมัทฉะในปริมาณมาก โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง

วิธีดื่มมัทฉะให้ปลอดภัย

  • ดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกิน 2-3 แก้วต่อวัน

  • เลือกมัทฉะคุณภาพดี มีแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้

  • หลีกเลี่ยงการดื่มมัทฉะตอนท้องว่าง

  • หากมีปัญหาเกี่ยวกับธาตุเหล็กหรือโรคกระเพาะ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

สรุป

ดื่มมัทฉะดีกว่าดื่มกาแฟไหม? คำตอบคือขึ้นอยู่กับความต้องการและสุขภาพของแต่ละคน มัทฉะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังงานแบบนุ่มนวล ผ่อนคลาย และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ส่วนกาแฟเหมาะกับคนที่ต้องการความตื่นตัวอย่างรวดเร็ว

ถ้าคุณไม่ชอบกาแฟ ลองมัทฉะคุณภาพดีที่มีรสชาตินุ่มนวลและสามารถปรับรสได้ตามใจชอบได้ มันอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

การเปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นมัทฉะควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ และการดื่มมัทฉะทุกวันควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง

ท้ายที่สุด เครื่องดื่มทั้งสองอย่างนี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย การเลือกดื่มอะไรขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ สุขภาพ และรสนิยมส่วนตัวของคุณเอง

 

You May Also Like

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้างดน้ำตาล 14 วัน

โดยปกติร่างกายต้องการน้ำตาลเพียง 24 กรัม / วัน เท่านั้น หรือประมาณ 4-6 ช้อนชา (เทียบเท่าน้ำผลไม้ประมาณ 200 มิลลิลิตร) แต่ถ้าได้รับปริมาณที่มากไป จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง และประสิทธิภาพในการผลิตฮอร์โมนอินซูลินลดลง น้ำตาลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท  น้ำตาลธรรมชาติ ที่ได้จากผัก ผลไม้ต่างๆ (ฟรุกโตส) และน้ำตาลในนม (แล็กโทส) น้ำตาลสังเคราะห์ หรือน้ำตาลที่ปรุงแต่ง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม…
View Post

รู้จักไซโคพาธ โรคขาดความสำนึกผิด

ไซโคพาธ (Psychopaths) โรคขาดความสำนึกผิด เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง มุ่งเน้นแต่เป้าหมายของตนเอง และทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น โดยไม่สนแม้จะต้องทำร้ายใคร หรือจะมีผลกระทบกับใครบ้าง Psychopaths หรือ ไซโคพาธ แปลว่า คนโรคจิต  และถ้าจะให้ความหมายคำว่า โรคจิต แปลว่า โรคทางจิตใจที่มีความผิดปกติของความรู้สึก ความคิด อารมณ์ หรือโรคจิตพฤติกรรมรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมสติได้ (ความหมายจาก พจนานุกรมไทยราชบัณฑิตยสถาน ) เช่น ประสาทหลอน วิกลจริต หลงผิด (โรคจิต ภาษาอังกฤษ psychosis…
View Post

โยคะคนท้อง กายบริหารที่ช่วยให้คุณแม่แข็งแรงและคลอดง่าย

“โยคะ“ (YOGA) ศาสตร์แห่งการผนวก ร่างกาย จิตใจ และ วิญญาณ หลอมรวมกันอย่างสมดุล เป็นการฝึกกายบริการ ควบคู่ไปกับการฝึกหายใจ และกระบวนการความคิด ให้จดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออก ก่อให้เกิดสมาธิ สามารถทำความเข้าใจถึงระบบร่างกายและความเป็นตัวตน โยคะสามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย และทุกที่โดยไม่จำกัด เพราะโยคะเป็นการออกกำลังกาย ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานที่ที่ต้องการ นอกจากนั้น โยคะ เป็นกายบริหารที่ช่วยยืดเส้นภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี เป็นกีฬาที่นุ่มนวล แก้อาการออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็สามารถเล่นท่าโยคะได้ โดยไม่มีอันตราย โยคะสำหรับคนท้องในปัจจุบัน ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีท่าโยคะคนท้อง ที่สามารถเล่นได้โดยไม่มีอันตรายต่อแม่และเด็กในท้อง…
View Post

คู่อาหารอันตราย: อาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน มีอะไรบ้าง?

คำถามที่ขึ้นต้นหัวข้อนี้ เริ่มมาจากมีญาติได้แชร์ไวรัล อาหารคู่มรณะ มาให้อ่าน ทำให้ต้องมาหาข้อมูลว่าจริงหรือไม่ กินอาหารเหล่านั้นด้วยกัน แล้วจะอันตรายถึงชีวิตได้อย่างไร
View Post

เปิดวาร์ป Rooftop บรรยากาศดีกลางกรุง ชวนนั่งชิล พาแฟนเดท 

วันนี้เราจะมาเปิดวาร์ปที่นั่งชิล บรรยากาศดี ถ่ายรูปสวย เป็น rooftop กลางเมืองกรุง ที่จะไปปาร์ตี้เป็นกลุ่มแก๊ง หรือชวนแฟนเดทสุดโรแมนติก สดชื่นได้หมดทุกมู้ด จะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ  Lebua at State Tower สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้ามายังสถานีสะพานตากสิน และเดินต่ออีกประมาณ 7 นาที ก็จะเห็นโรงแรมเลอบัว แอท สเตททาวเวอร์ ตั้งตระหง่านในย่านบางรัก โดยมีโดมสีทองด้านบนเป็นเอกลักษณ์ หรือจะนำรถส่วนตัวมาจอดที่ตึกได้เช่นกัน ที่โรงแรมเลอบัวมีร้านอาหาร บาร์หรู และ Sky Bar…
View Post

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรากินเร็วเกินไป 

นิสัยกินเร็ว กินไว กินข้าวกับเพื่อนทีไร เพื่อนต้องยกธงยอมแพ้ ใช่คุณหรือเปล่า? รู้ไหมว่า การกินเร็วเกินไปส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และอาจทำให้คุณกำลังเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ตามมาได้    ร่างกายมีกลไกลการรับรู้ความอิ่ม  ร่างกายของคนเราจะมีกลไกในการรับรู้ความอิ่ม เพื่อให้ร่างกายรับอาหารในปริมาณที่เหมาะสม โดยขณะที่เรากินอาหาร สมองจะได้รับสัญญาณจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งกว่าสมองจะสั่งการให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ต้องใช้เวลานานกว่า 20 นาที ดังนั้น เมื่อคนกินเร็วเกินไป ทำให้สมองสั่งการให้ร่างกายรู้สึกอิ่มไม่ทัน จึงทำให้คนกินเร็วยังรู้สึกว่าไม่อิ่ม จึงกินต่อไปเรื่อย ๆ กลายเป็นกินอาหารในปริมาณที่มากเกินไปในที่สุด และยังก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอีกด่วย …
View Post